HD_web_ข่าวเด่นทั่วไทย-03-removebackground

อาชีพสุดปัง พลิกชีวิตหนุ่มราชการสร้างรายได้หลายหมื่น

เมื่อสองหนุ่มสาวยุคใหม่สร้างตัวจากการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ หรือผักปลอดสารพิษ หารายได้เป็นอาชีพเสริม สู่การพัฒนาเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้หลายหมื่นบาทต่อเดือน จนต้องตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่เคยรับราชการ และพนักงานบริษัท เพื่อหันมาทำแปลงปลูกผักปลอดสารพิษหน้าบ้านของตัวเอง ที่มีพื้นที่ไม่กี่ตารางวา แต่มีความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค ด้วยการเรียนรู้และศึกษาด้วยตัวเองจากสื่อโซเชี่ยน แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาสมกับพื้นที่จนประสบความสำเร็จ เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค จนผลผลิตไม่ทันขาย โดยเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 มกราคม 2567 ที่ตลาดนัดเกษตร ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ผู้สื่อข่าวได้พบกับ นายกิตติศักดิ์ แสงอุทัย อายุ 29 ปี อดีตทหารยศ จ่าสิบเอก ของกรมการสื่อสารทหารบก พร้อมกับนางสาวเบญญาภา ศรีสุวรรณ อายุ 24 ปี อดีตพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่กำลังช่วยกันขายผักไฮโดรโปนิกส์ หรือผักปลอดสารพิษ ที่มีทั้งความสด ใหม่ น่ารับประทาน และราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับท้องตลาดทั่วไป โดยผักที่นำมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคในครั้งนี้ ประกอบด้วย กรีนคอส , กรีนโอ๊ค , เรดโอ๊ค , ฟินเล่ย์ ,และมินิคอส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะเป็นผักที่นิยมนำมาทำเป็นสลัดผัก สุกี้ หรือกินสดๆ ตามความชื่นชอบของผู้บริโภค จากการสอบถามนายกิตติศักดิ์ หรือแชมป์ ได้เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นพลิกผันของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อแฟนสาวได้หันมาศึกษาการปลูกผัก เพราะเนื่องจากเป็นคนที่ชอบกินผักเป็นเกณฑ์หลักอยู่แล้ว จึงได้ศึกษาหาข้อมูลจากสื่อโซเชี่ยนต่างๆ เพื่อหวังจะลองปลูกทานเอง โดยช่วงนั้นยังทำงานอยู่ที่บริษัท ส่วนตัวเองก็ยังรับราชการทหารอยู่ จนในที่สุดการลองผิดลองถูกกว่า 1 ปี ก็นำมาซึ่งการแบ่งขายเป็นรายได้เสริม และกลายเป็นที่ชื่นชอบและนิยมของผู้บริโภค จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกแบบเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น รองรับกับความต้องการของผู้บริโภค จนในที่สุดแฟนสาวได้ตัดสินใจลาออกจากงานที่บริษัทที่เคยทำอยู่ เพื่อหันมาทำแปลงปลูกผักอย่างจริงจังที่หน้าบ้านของตัวเอง แล้วเริ่มนำมาขายที่ตลาดนัดเกษตรภายในตัวเมืองฉะเชิงเทรา จนมีลูกค้าประจำเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนผลผลิตที่ได้เริ่มโตไม่ทันเก็บขาย ตนเองจึงได้ตัดสินใจลาออกจากราชการ ทิ้งเงินเดือนเกือบ 2 หมื่นบาท เพื่อมาช่วยแฟนทำแปลงผักปลอดสารพิษที่บ้าน และได้พยายามศึกษาและทดลองนำผักชนิดอื่นๆ มาปลูกผสมผสานควบคู่กัน เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายชนิดผักที่หลากหลาย ปลอดภัย ไร้สารเคมี ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยังบ้านของนายกิตติศักดิ์ แสงอุทัย

 

 

 

 

ซึ่งอยู่ภายในหมู่บ้าน พรมสิริ 2 หมู่ที่ 3 ตำบลหนองตีนนก อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว มีพื้นที่หน้าบ้านประมาณ 2 X 6 เมตร ที่เต็มไปด้วยกล่องโฟมที่ใช้ในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ด้วยวิธีการปลูกด้วยน้ำนิ่ง ซึ่งจากการสอบถามนายกิตติศักดิ์ แสงอุทัย ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองและแฟนได้ซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาจากแหล่งที่เขามีขายทั่วไป ในราคาถุงละ 20 บาท ซึ่งภายในจะบรรจุอยู่ 100 เมล็ด เราก็จะนำมาใส่ในกระดาษทิชชู แล้วนำไปแช่ในตู่เย็น 1 คืน เพื่อเป็นการกระตุ้นเมล็ดพันธุ์ จากนั้นก็จะเริ่มนำมาใส่ในฟองน้ำที่แช่น้ำเอาไว้อีกประมาณ 3 วัน พอเริ่มเป็นต้น ก็จะเริ่มจับมาแยกกระจายเป็นต้นๆ อีกประมาณ 7 วัน หลังจากนั้นก็จะเริ่มนำมาลงกล่องโฟมเพื่อปลูกในน้ำนิ่งที่เตรียมไว้ โดยในน้ำนิ่งก็จะเป็นน้ำประปาปกติทั่วไป แล้วใส่ปุ๋ยชีวภาพที่ทำขึ้นเอง และหากในน้ำมีไลแดงหรือศัตรูพืช เราก็จะใช้วิธีทางธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาหางนกยูงลงไป เพื่อให้ไปกินไลแดงหรือศัตรูพืชที่อยู่ในน้ำ รอจนประมาณ 41-45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตเพื่อนำไปจำหน่ายได้แล้ว ส่วนวิธีการปลูกเราจะเน้นให้มีระยะห่างกัน 1 อาทิตย์ เพื่อที่จะได้สามารถเก็บผลผลิตได้ทุกอาทิตย์ โดยเพียงพอต่อหารนำไปจำหน่ายที่ตลาดนัดเกษตร และเมื่อสอบถามถึงผลกำไรที่ได้มันคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า เมล็ดพันธุ์ผักที่เราซื้อมาถุงละ 20 บาท จะมีมา 100 เมล็ด โดยใน 100 เมล็ดอาจจะมีฟ่อหรือเสียประมาณ 10-15 เมล็ด ดังนั้นผลผลิตที่ได้ก็จะอยู่ประมาณ 85-90 ต้น และใน 1 ต้น จะหนักประมาณ 1 ขีดกว่า แต่เมื่อนำมาชั่งขายเป็นกิโล จะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท นั้นหมายถึงผักจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ต้นต่อกิโลกรัม และเมื่อนำมาหักต้นทุนที่เป็นถุงพลาสติก กล่องโฟม ฟองน้ำ หรือในส่วนอื่นๆ ก็พอจะมีรายได้เหลืออยู่ 2 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน จากเนื้อที่เพราะปลูกแค่ไม่กี่ตารางวา โดยในอนาคตกำลังเตรียมที่จะหาพื้นที่ขยายทำแปลงปลูกผักเพิ่มขึ้นอีก และหาตลาดในการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ส่วนใครที่อยากทำอาชีพนี้สามารถศึกษาและทำเองได้ เพราะอย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่อิสระ มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น