เจ้าท่าพัทยา แจ้งความ สภ.พลูตาหลวง ดำเนินคดีผู้บุกรุกถมคลองสาธารณะ ทางเข้าร้านกาแฟ ”นาวาเอก“ สื่อฯขุดคุ้ย พบซุ้มประตูทางเข้า-ออก ไม่มีใบอนุญาตก่อสร้าง

ยิ่งขุดคุ้ยยิ่งเจอ กรณี นายทหารเรือยศ ”นาวาเอก“ ได้เข้าไปถือครองที่ดิน ที่เป็นที่ดินติดภูเขา พื้นที่ ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ปลูกสร้างร้านกาแฟหรู โดยไม่ขออนุญาตจาก อบต.พลูตาหลวง อีกทั้งยังก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายรีสอร์ท รวมถึงบ้านพักอาศัย อยู่ภายในพื้นที่ดังกล่าวเนื้อที่ประมาณกว่า 2 ไร่ โดย นายอมตะ ใคร่ครวญ นายกอบต.พลูตาหลวง พร้อมนายช่างโยธาได้เข้าไปตรวจสอบ ขอดูใบอนุญาตก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว แต่นายทหารยศ ”นาวาเอก“ ไม่สามารถหาเอกสารสิทธิ์ โฉนดที่ดินหรือเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน น.ส.3 ก. บริเวณดังกล่าวมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ อบต.พลูตาหลวง จึงได้ติดป้ายระงับการใช้อาคาร สิ่งปลูกสร้างทั้งหมด โดยให้ “นาวาเอก” ที่เข้าไปยึดครองที่ดินไปหาหลักฐานมาแสดงยืนยันความเป็นเจ้าของภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันปิดหมาย และถ้าไม่สามารถนำหลักฐานมาแสดง ความเป็นเจ้าของได้ อบต.พลูตาหลวง ก็จะติดหมายรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในบริเวณนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ดิน ที่ถูกบุกรุก บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ดินติดภูเขาไม่มีเอกสารสิทธิ์ อยู่ติดกับ ลำคลองสาธารณะประโยชน์ทำให้บรรยากาศร่มรื่น สวยงาม เป็นทำเลทองที่กลุ่มนายทุน กว้านซื้อที่ดิน เพื่อนำไปปลูกสร้างรีสอร์ท และแคมป์ปิ้ง ราคาที่ดินที่มีโฉนดถูกต้องตามกฎหมาย จะมีราคาสูงถึงไร่ละ 6-7 ล้านบาท

 

 

 

นายเอกราช คันธโร ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา ได้มอบหมายให้ นายชุติพงศ์ สุระชลภูมิ เจ้าพนักงานตรวจท่าน้ำชำนาญการ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หลังจากเจ้าท่านตรวจพบว่ามีการบุกรุก ถมคลองสาธารณะบริเวณทางเข้า-ออก ร้านกาแฟและรีสอร์ท ของ “นาวาเอก” ทำให้สภาพน้ำในคลองไม่สามารถไหลผ่านจุดที่ถูกถมดินปิดกั้นได้ เนื่องจากมีการฝังท่อระบายน้ำอยู่ในจุดที่สูง ส่งผลให้ชาวบ้านที่ทำการเกษตร อยู่ด้านล่างที่ดินของ “นาวาเอก” ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเส้นทางน้ำถูกปิดกั้น ไม่สามารถไหลผ่านส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตร
นายชุติพงศ์กล่าวว่า “ได้ทราบข้อมูล จะเป็นแหล่งข่าวหรือข้อมูลจากทางอบต.พลูตาหลวง ทางเจ้าท่าฯ ก็ได้ ลงพื้นที่ตรวจสอบ เชิญบุคคลเข้ามาพบ ได้บันทึก ได้ออกคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ที่รุกลำน้ำรวมถึงสิ่งปลูกสร้างออกไป รวมถึงลงบันทึกประจำวัน ที่ สภ.พูลตาหลวง ในเรื่องของบุกรุกลำน้ำและการก่อสร้างที่บุกรุกลำคลอง ให้ดำเนินคดีถึงที่สุด ตามความผิดตามพรบ.น่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 ฉบับที่ 17 มาตรา 117 กำหนดว่า ผู้ใดที่ฝ่าฝืนในการก่อสร้างสิ่งรุกลำน้ำ ล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ ใต้น้ำ ของลำคลองสาธารณะประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นความผิด ที่เราไปตรวจพบก็คือเป็นการถมคลอง ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าน ซึ่งจากการสอบถามบุคคลที่อยู่ในข่าว ตอบว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้าง ก็เลยลงบันทึกประจำวันกับตำรวจไว้ รอให้ทางตำรวจเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนอีกที เจ้าท่าฯไปคัดสำเนาเอกสารที่สำนักงานที่ดินอ.สัตหีบ พบตรงนั้นเป็นคลองสาธารณะประโยชน์ การจะปลูกสร้างสิ่งใดต้องขออนุญาตจากเจ้าท่าฯ เราส่งหมายไปให้ระงับการก่อสร้างแล้วก็ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป กำหนดไว้อย่างน้อย 30 วัน เราลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ถ้าไม่รื้อถอนเราก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

นายชุติพงศ์กล่าวอีกว่า ผู้ครอบครองที่ดิน(นาวาเอก) แจ้งว่าไม่ได้เป็นผู้สร้าง สอบถามผู้ใหญ่บ้านคนเก่า บอกว่าน้ำด้านบนใช้การเกษตรในพื้นที่ด้วย แต่ส่วนน้ำด้านล่าง เจ้าท่าฯไม่ทราบน้ำไปถึงไหน ”นาวาเอก“บอกเป็นคนดูแลด้านใน ก็คือเจ้าของ แต่ด้านนอกบอกว่า ไม่ได้เป็นคนปลูกสร้างสิ่งที่รุกลำน้ำ ในส่วนฐานความผิดของการบุกรุกลำน้ำ โทษตามมาตรา 118 ปรับตารางเมตรละ 1000 ถึง 20,000 บาทแล้วก็เป็นจำคุกไม่เกิน3 ปี ในกรณีที่ไม่รื้อถอนออกไป