สพฐ. ปลื้มใจ ไทย-ญี่ปุ่น จับมือกันพัฒนานักเรียน-ครู รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณฯ ก้าวสู่สากล

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) ได้พบปะผู้แทนผู้บริหารมหาวิทยาลัยโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือด้านความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ในโครงการแลกเปลี่ยน SAKURA Exchange Program in Science ณ มหาวิทยาลัยโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ของกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยและมหิดลวิทยานุสรณ์ ในวาระครบรอบ 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 – 2567 ณ ห้องประชุมสีฟ้า อาคาร สพฐ. 1 กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี Clin. Assoc. Prof. Dr. Tomohisa Uchida จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วย ดร.โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิและที่ปรึกษาคณะกรรมการ พัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นางสาวพจนีย์ เจนพนัส ที่ปรึกษาพิเศษและคณะกรรมการพัฒนาโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นายภูริวรรษ คำอ้ายกาวิน ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา นายพิสุทธิ์ ยงทางเรือ ผู้อำนวยการกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย และบุคลากรของ สบว. เข้าร่วมประชุม
โอกาสนี้ ที่ประชุมได้ร่วมหารือและสรุปผลการดำเนินงานในวาระครบรอบ 10 ปี โครงการ “SAKURA Exchange Program in Science for High School Students at Oita University” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา โดยได้รับการประสานจากมหาวิทยาลัยโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ให้คัดเลือกนักเรียนและครูจากกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยทั้ง 12 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ได้แก่ บุรีรัมย์ เชียงราย พิษณุโลก ลพบุรี มุกดาหาร ปทุมธานี ชลบุรี เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูล และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้เข้าร่วมโครงการ โดยมหาวิทยาลัยโออิตะเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในกิจกรรมดังกล่าว เพื่อส่งเสริมความสนใจของเยาวชนในภูมิภาคเอเชียที่มีต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้นักเรียนเยาวชนของไทยได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นเลิศทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2557 จนถึงปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา ซึ่งในปี พ.ศ. 2567 ได้คัดเลือกนักเรียนและครูฯ เพื่อเข้าร่วมโครงการ ระหว่างวันที่ 2 – 8 ธันวาคม 2567 รวมทั้งสิ้น 14 คน โดยมีนักเรียนและครูจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 13 คน และนักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 1 คน

นางเกศทิพย์ ศุภวานิช กล่าวว่า ในที่ประชุมวันนี้ได้มีการสรุปผลการดำเนินงาน ประโยชน์ ประสบการณ์ และสิ่งที่นักเรียนได้รับ โดยนักเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และต่อยอดความรู้ในการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตวัฒนธรรม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ของญี่ปุ่น ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น ทำให้กลับมาพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้านได้ และนักเรียนได้รับโอกาสที่ดีที่ได้เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับเด็กนักเรียนที่ไม่มีทุนทรัพย์มากเพียงพอในการที่จะไปแลกเปลี่ยนความรู้ในต่างประเทศ รวมถึงนักเรียนได้รับโอกาสและประสบการณ์ ในการเรียนรู้เกี่ยวกับสายการเรียนหรือการทำงานในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้ความรู้ที่นอกเหนือจากในห้องเรียน โดยเปิดโอกาสในการเจอนักวิจัยที่มีความสามารถหลายด้าน เช่น มหาวิทยาโออิตะ มีศาสตราจารย์ที่เชี่ยวชาญในการศึกษาและค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารจากเชื้อ H. Pylori ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนมากเป็นมะเร็งจากสาเหตุนี้

“กระทรวงศึกษาธิการ นำโดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. และว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงศ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ให้ความสำคัญและส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาโดยตลอด เพื่อการพัฒนาคนในประเทศให้มีความสามารถทัดเทียมระดับนานาชาติ จากการประชุมในวันนี้ ขอฝากให้ติดตามผลการศึกษาต่อยอดของนักเรียนในด้านการศึกษาต่อในสาขาวิทยาศาสตร์และด้านการแพทย์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจหรือประสบการณ์จากการไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ณ มหาวิทยาลัยโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ตามโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยโออิตะ ในแนวทางการดำเนินโครงการในอนาคตต่อไป หากสามารถเพิ่มจำนวน ระยะเวลาในการไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ณ มหาวิทยาลัยโออิตะเพิ่มมากขึ้น จากเดิม 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพิ่มเป็น 2 สัปดาห์ หรือ 15 วัน เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับนักเรียนในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนักเรียนจะได้รับความรู้และประสบการณ์ ในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าด้านการพัฒนานวัตกรรม วิทยาการเทคโนโลยีชั้นนำและด้านการแพทย์ เพื่อนำมาพัฒนาประเทศชาติของเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว