ลูกจ้างร้านตู้ซักผ้าหยอดเหรียญแจ้งจับตำรวจยศ ร.ต.อ.พร้อมเมียฉ้อโกงเงินกว่า 1 ล้านบาท

วันที่ 10 มิ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.อิ่มจิตต์ หรือตี๊ด เม่งวิสัย อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 264 ตำบลตากแดด อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร อาชีพลูกจ้าง ว่าถูกสองผัวเมียทำทีตีสนิทก่อนหลอกยืมเงินไปกว่า 1 ล้านบาท จากนั้นหายไปเลยไม่ยอมชดใช้ น.ส.อิ่มจิตต์ ผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว นางขวัญ  นามสมมติ ได้เดินเข้ามาทำทีนั่งซ่อมมือถือภายในร้านซึ่งให้บริการตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ ที่ตนทำงานตั้งอยู่ภายในปั๊มน้ำมันตัวเมืองชุมพร ขณะนั้นที่ร้านติดป้ายประกาศให้เซ้ง นางขวัญ ได้พูดคุยตีสนิทพร้อมกับบอกว่าตนสนใจจะเซ้งร้าน และได้คุยกับเจ้าของร้านด้วย

โดยนางขวัญ ชวนคุยพร้อมกับอ้างว่า ตนมีโรงแรมอยู่ที่ภูเก็ต มีบ้านพักและร้านยาอยู่ที่นครศรีธรรมราช จากนั้นนางขวัญ บอกว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลังที่ประเทศญี่ปุ่นเดี๋ยวจะไปขายบ้านในราคา 36 ล้านบาท เพื่อมาลงทุนเซ้งร้านดังกล่าว แต่ไม่มีเงินเป็นค่าเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น จึงขอยืมเงินของตนเพื่อเป็นค่าเดินทางไปประเทศ ญี่ปุ่น ตนจึงได้ทำการโอนเงินให้ สามีที่เป็นตำรวจติดยศ ร.ต.อ.สังกัดอยู่ในพื้นที่จังหวัดระนอง หลายครั้ง ระหว่างวันที่ 2 พ.ย. 2567 ถึง วันที่ 23 เม.ย. 2568 รวมเป็นเงินจานวน 1,024,700 บาท ผู้เสียหาย เล่าอีกว่า หลังจากนั้นได้ทวงถามเรื่องการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเรื่องการขายบ้าน แต่นางขวัญอ้างต่างๆนานามีปัญหาทุกครั้งขณะกำลังจะเดินทาง ตนจึงเกิดข้อสงสัยว่าอาจจะถูกหลอกเชิดเงิน จึงปรึกษากันกับเจ้าของร้านซึ่งเป็น 1 ในผู้เสียหาย ที่เอาเงินให้ตนโอนให้สามีนางพาขวัญและบางครั้งให้เป็นเงินสดด้วย หลังจากทวงเงินแล้วไม่ได้คืน

ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.อิ่มจิตต์ ผู้เสียหายได้นำเอกสารเป็นสลีปการโอนเงินผ่านแอพธนาคาร เดินทางไปแจ้งความนางขวัญ และสามีที่สภ.เมืองชุมพร เพื่อดำเนินคดีเอาผิดจนกว่าจะถึงที่สุด แต่จากการตรวจสอบรายชื่อในระบบพบว่า นางขวัญ จริงแล้วคือมีชื่ออีกชื่อหนึ่งซึ่งชื่อไม่ตรงกับที่กล่าวอ้างอีกด้วย ผู้เสียหาย เล่าอีกว่า จริงแล้วมีผู้เสียหายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 ราย รวมถึงอดีตเจ้าของร้านตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ(ปัจจุบันมีรายอื่นเซ้งต่อแล้ว แต่น.ส.อิ่มจิตต์ ผู้เสียหายยังเป็นลูกจ้างอยู่) แต่การทำธุระโอนเงินและให้ด้วยเงินสดผ่านน.ส.อิ่มจิตต์ เพียงคนเดียว จึงเป็นผู้เสียหายคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบเรื่องเงินที่ถูกสองสามีภรรยาหลอกไป เมื่อสอบถามไปทางสามีที่เป็นตำรวจบอกว่า ตนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น และแยกทางกับภรรยาแล้ว ส่วนนางขวัญบอกเพียงว่าขอเวลาผัดผ่อนไปก่อน ในขณะที่ น.ส.อิ่มจิตต์ เดือดร้อนมากต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้หนี้ รวมต้องเสียดอกเบี้ยวันละ 3,750 บาท เจ้าหนี้บางรายก็ไม่ให้ผัดผ่อน ตนไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร เป็นลูกจ้างร้านซักอบผ้ามีรายได้วันละ 300 กว่าบาทเท่านั้น จนเกิดความกดดันไม่มีทางออกวอนสองผัวเมียหาเงินทาคืนบ้าง” ผู้เสียหาย เล่าด้วยน้ำเสียงที่หมดหวัง

เอกชนะ นวนละมัย / จ.ชุมพร